เทคนิกการควบคุมจิตใจผู้อื่นที่มีการใช้ในสถานการณ์ต่างๆ



credit : กระทู้ พวกหลอกลวงคนให้ไปรักษา เขาทำกันอย่างไร... -=Byหมอแมว=- จากห้องหว้ากอ Pantip.com เขียนเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2555


1. เคาะประตูบ้าน
     วิธีนี้คือวิธีที่เราเจอได้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด เพราะมันเป็นจุดแรกที่จะนำพาไปสู่การควบคุมพฤติกรรมของเป้าหมายได้ และหากไม่สามารถจัดการขั้นตอนนี้ได้ ขั้นตอนที่เหลือมักจะไม่ตามมา

หาทางเข้า          การหาทางเข้าเริ่มต้นมีได้หลายรูปแบบ แต่ว่ารูปแบบที่เหมือนกันคือจะต้องทำให้ผู้ที่เป็นเป้าหมายมีความรู้สึกว่าเค้าสามารถปฏิเสธไม่เข้าร่วมเมื่อไหร่ก็ได้และไม่ได้รู้สึกถูกบังคับ ทั้งนี้ขั้นแรกถือเป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์คือสัตว์ที่มีความสงสัย และมักจะไม่ลองสิ่งใหม่ๆด้วยความกลัวที่ซ่อนอยู๋ลึกๆ หากมีอะไรมาสะกิดตรงจุดนี้แล้วก็จะไม่กล้าเข้าไปร่วม โดยส่วนใหญ่ของการชักชวนไปรักษาแบบทางเลือกนี้ มักใช้หลักของคนรู้จักกับความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลเป็นหลัก เพราะว่าเรื่องสุขภาพคือสิ่งที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ 
  • ใช้คนรู้จัก : การใช้คนรู้จักมาชักชวนคือหลักการสำคัญของการหลอกรักษาทางเลือก เพราะคนรู้จักมาชวนก็หมายความว่ามีหนูทดลองไปก่อนหน้าคนโดนชวนแล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนที่รักษาแล้วรอดมาได้ก็จะบังเกิดความรู้สึกว่าไม่น่าจะอันตรายอะไร นอกจากนี้ความรู้จักจะทำให้คนที่โดนชวนเกิดความเกรงใจและยอมรับฟัง
  • รายการในเคเบิ้ลทีวี : รายการในเคเบิ้ลทีวีที่เสนอทางรักษาแบบเกินจริงมักมาในแบบที่พ่วงมากับช่องอื่นๆ ตอนแรกเราอาจจะติดกล่องติดจานด้วยอยากดูรายการช่องอื่นแต่มันมีรายการพวกนี้พ่วงมาด้วย และสุดท้ายก็ต้องมีสักวันที่เราลองเปิดเข้าไปดูว่าเค้าพูดอะไรกัน ... การพ่วงแถมรายการเข้ามาคือเทคนิกเคาะประตูบ้านแบบนึง
  • สร้างความดูดี : เช่น เอานักพูดหรือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงมาร่วมอีเวนท์ เอาคนที่มีประสบการณ์ในการรักษามาพูดในรายการ ถ่ายรูปความสำเร็จมาโฆษณา 
  • ใช้ศีลธรรม : วิธีนี้มักใช้เในที่สาธารณะเช่นเดินเข้ามาขอเงินบริจาคแล้วยกศีลธรรมมานำ เช่นถือรูปเด็กยากไร้ รูปโลงศพ คนเรามักขี้เกรงใจเมื่ออีกฝ่ายพูดประมาณว่ารู้จักองค์กรหน่วยงานของเขาที่ดูแลผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม และสิ่งที่เค้าขอเราก็คือ "ขอเวลา"
ขอเวลา          เมื่อหาทางเข้าได้แล้ว สิ่งที่จะทำต่อไปคือ การเข้าไปในชีวิตประจำวันของเป้าหมายครับ โดยจะเริ่มจากการขอเวลาเล็กๆน้อยๆ จากนั้นจะเพิ่มเวลาขึ้นไปทีละนิด อาจจะมีกิจกรรมที่ดึงเราออกมาจากสังคมปกติของเรา ทำเพื่อใส่แนวคิดลงไปในคนที่เป็นเป้าหมาย และที่ทำแบบช้าๆค่อยเป็นค่อยไปก็คือเพื่อให้เป้าหมายไม่รู้สึกว่ามีผลเสียอะไรและหลอกให้รู้สึกว่า "เป็นผู้เลือกและจะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้" รูปแบบของการขอเวลา มีหลายแบบ
  • พาไปทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ เช่นการพาไปทำกิจกรรมทางศาสนาที่คนๆนั้นนับถือ (กรณีหมอพระ ก็เข้าวัด ทำพิธีพุทธ กรณีหมอพื้นบ้านก็ไหว้ครู) หรือร่วมกิจกรรมวิชาการ อันนี้แล้วแต่กลุ่มเป้าหมายคือใคร
  • ใช้เทคนิกทางการตลาดหรือทางสื่อ เช่นการมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกชิงโชค การจัดรายการให้ดูน่าสนใจมีการร่วมโทรเข้าไปถามคำถามในรายการได้ 
ปิดประตูตีแมว          เมื่อเป้าหมายทนการชักชวนไม่ได้ไม่ว่าจะเกรงใจหรือเริ่มเชื่อ กลุ่มคนที่รักษาจะให้เข้าสู่ขั้นต่อไปคือการพาไปยังสถานที่ที่แยกเป็นสัดส่วนสำหรับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการพาเข้าวัด การพาเข้าสำนักรักษา หรือการพาไปยังบริษัท และสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นเพื่อกักเป้าหมายไว้เช่นการอ้างถึงพิธีกรรม อ้างบุญ กรรม อ้างพระ อ้างพระเจ้า ,การพาไปในกิจกรรมที่ไปกันหลายคนโดยรถรวม (ถ้าจะกลับต้องรอกลับพร้อมกัน)


2. สร้างความเชื่อมั่นด้วยสิ่งที่ดูดี 
     ขึ้นกับว่าคนที่รักษานั้นใช้วิธีไหน 

ถ้าเป็นกลุ่มที่ใช้ความเชื่อ : ก็จะบอกถึงหลักการและเหตุผล อาจจะพูดถึงเรื่องบุญกรรม อาจจะพูดถึงเรื่องอิทธิปาฎิหารย์ บางครั้งอาจจะสร้างสถานการณ์เช่นเอาคนที่อ้างว่ารักษาหายมาพูดมาคุย หรือไม่ก็รักษาให้เห็นตรงนั้นเลย

ถ้าเป็นกลุ่มที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ : กลุ่มวิทยาศาสตร์เทียมจะอ้างหลักการ อ้างงานวิจัย และอธิบายเหตุผลด้วยศัพท์ที่ทำให้ดูมีเหตุผล และเหมือนกับกลุ่มที่ใช้ความเชื่อคือการหาคนที่น่าเชื่อถือหรือคนที่รักษาหายมาพูด คำพูดที่ใช้มักจะใช้คำว่า ธรรมชาติ องค์รวม ผสมผสาน แต่โบราณ เข้ามาเสริมความน่าเชื่อถือ มีการดิสเครดิตการรักษาแผนปัจจุบันในระดับหนึ่งเช่นกล่าวหาว่าวิธีการรักษานี้ได้ผลดีแต่ที่ไม่มีคนรู้เพราะบริษัทยาจะเสียประโยชน์เลยโดนปิดบัง , เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ต่างชาติ ต้องการทำลายหาประโยชน์เลยปิดบัง

3. ใช้มวลชน
     ในปี1951มีงานวิจัยที่มีชื่อเสียงของ Solomon Asch เกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยามวลชน โดยเขาได้บอกอาสาสมัครว่างานวิจัยนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้ ... เมื่ออาสาสมัครเดินทางมาถึงห้องทดลอง ก็จะได้เจอกับคนที่จะต้องทดลองร่วมกันเป็น7คน สิ่งที่อาสาสมัครไม่รู้คือ คน6คนที่มาร่วมทำการทดลอง จริงๆคือหน้าม้าทั้งหมด จากนั้นAschก็จัดให้คนที่ถูกทดลอง ไปอยู่ที่เก้าอี้ตัวที่ 6 จากนั้นก็เอาภาพ2ภาพมาตั้งไว้(รูป) แล้วถามว่าเส้นใดในภาพที่สอง ที่ยาวเท่ากับเส้นในภาพแรก
      คำตอบนั้นดูง่ายมาก เพราะเมื่อมองแล้วเส้นที่สองตรงกลางดูเท่ากับเส้นในภาพแรกแบบชัดเจน
เมื่อหน้าม้าคนแรกตอบผิด คุณอาจจะคิดว่าเค้าน่ะผิด
เมื่อหน้าม้าคนที่สองตอบผิด คุณชักเริ่มแปลกใจว่าทำไมคนตอบผิดเหมือนกัน
แต่เมื่อหน้าม้าคนที่3-4-5ตอบเหมือนสองคนแรก และตอนนี้คุณต้องตอบแล้วล่ะ ... คุณจะตอบตามคำตอบที่คุณเชื่อ หรือตอบตามที่คนอื่นตอบ ผลการทดลองที่ออกมาน่าแปลกใจอยู่ทีเดียวเมื่อพบว่าคนส่วนใหญ่จะมีคำตอบที่ประนีประนอมกับคนรอบข้างแม้ว่าเราจะเชื่อว่าคำตอบที่เราตอบนั้นผิด 
       หลักการที่เกิดขึ้นในวิธีหว่านล้อมในการรักษาทางเลือกเหล่านี้ ก็คือ การใช้คนจำนวนมากเข้ามา 
อาจจะเป็นหน้าม้า หรืออาจจะเป็นคนที่มาร่วมกิจกรรมคนอื่นๆ แต่ให้มาทำกิจกรรมตามที่จัดไว้ โดยเมื่อทุกคนทำกิจกรรม ก็จะสังเกตกันและกัน พอเห็นว่าคนข้างๆทำเราก็ทำตาม ทุกคนต่างทำตามสิ่งที่ถูกสั่งมาโดยมองว่าคนอื่นเค้าก็ทำ ซึ่งแม้ว่าช่วงแรกจะสงสัย แต่ว่าเราเห็นคนอื่นทำเราก็จะไม่ค่อยสงสัยอะไรมากและค่อยๆร่วมกันถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ ลักษณะกิจกรรมที่ใช้เพื่อหลอกให้ถลำลึกเข้าไปนี้ก็จะเป็นกิจกรรมที่มักให้"ทำตามคำสั่ง" โดยพยายามไม่ให้เกิดการซักถามสิ่งต่างๆนอกเหนือไปจากที่กิจกรรมกำหนด เพื่อทำการ"Isolate"หรือแบ่งแยกเป้าหมาย ให้โดดเดี่ยว รู้สึกช่วยเหลือตนเองได้ไม่มาก หากมีใครก็ตามทำท่าจะสงสัยหรือต่อต้าน ก็จะมีการ"ลงโทษ" เช่น ตำหนิต่อหน้าคนอื่นๆ โทษว่าคนที่ไม่ทำตามเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มไม่ก้าวหน้า ตำหนิว่าการสงสัยเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่หายจากโรค หรือในกรณีที่ใช้ศาสนาเข้ามา ก็จะตำหนิว่ากำลังลบหลู่ดูหมิ่นในศาสนา โดยบางครั้งอาจจะมีหน้าม้าหรือคนที่โดนหลอกคนอื่นๆร่วมกดดันหลายๆคน ในทางกลับกัน คนที่ทำตามจะได้รับคำชมเชยหรือการยอมรับจากกลุ่มว่ามาถูกทางแล้ว

4. ก่อนจะได้ผลต้องเจ็บปวดเสียก่อน

      การหลอกลวงรักษาทางเลือกแบบหลอกลวงนี้ จะขาดเทคนิกนี้ไปเสียไม่ได้ เพราะตรงส่วนนี้คือเทคนิกที่ใช้หากิน คนที่ป่วยแล้วโดนหลอกให้มารักษาจะมีทั้งโรคที่หายเองได้และโรคที่ไม่หายเองถ้าไม่ได้รักษา คนที่หลงเข้ามาตามขั้นที่ 1 - 2 - 3 บางคนหายหลังจากการรักษารอบแรกเพราะโรคมันหายของมันเอง ... กลุ่มนี้จะกลายไปเป็นคนที่ชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเพิ่มเติม ทีนี้ย่อมมีบางคนที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางหาย เมื่อเข้ามาในขั้นที่ 1 - 2 - 3 แล้ว เค้าก็ไม่หาย ผู้รักษาก็จะบอกว่าคุณต้องกลับเข้าสู่กระบวนการรักษาใหม่นะ ก็จะกลายเป็นวงจร 1-2-3-2-3-2-3 .... ไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็ล้างสมองไป ทำพิธีไป รักษาไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่หาย ถ้าหากโดนตั้งคำถามว่าทำไมจึงไม่หายเสียที ถ้าหากเป็นการรักษาด้วยความเชื่อ : ก็ดุว่าทำไมไม่มีความเชื่อ ไม่ศรัทธา ลบหลู่  ถ้าหากเป็นการรักษาด้วยวิทยาศาสตร์เทียม : ก็บอกว่ามันคือเรื่องปกติ ก่อนจะหายอาการจะหนักขึ้น เป็นเพราะการรักษากำลังไปสู้กับโรค เช่นเดียวกัน คนที่ตั้งคำถามว่าทำไมไม่หายจะโดน"ลงโทษ"ด้วยวิธีการทางมวลชน ไม่ว่าจะเป็นการตำหนิต่อหน้าหรือใช้คนหลายๆคนมาว่า 
     ลักษณะจะเหมือนกับการเล่นพนัน คือ เราลงทุนไปกับสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเกิดความรู้สึกว่าเรามาไกลแล้ว ประกอบกันกับมีคนหลายคนที่อยู่รอบๆยืนยันว่าเรามาถูกทางแล้ว และให้ความมั่นใจว่าคนอื่นๆที่ผ่านมาเค้าก็เป็นกันแบบนี้
     ในปี1997 กลุ่ม Heaven's gate ซึ่งประกอบไปด้วยคนที่มีฐานะ คนที่มีความรู้การศึกษาสูงหลายๆคน ถลำเข้าไปในวงจรนี้ ถลำไปจนกระทั่งพวกเขาเหล่านั้นขายบ้าน ขายสินทรัพย์ ลาออกจากงาน เพื่อการเตรียมตัวตายให้วิญญาณไปพร้อมกับยานอวกาศที่พวกเขาเชื่อว่าบินตามหลังดาวหางฌอลบ็อบมา
เมื่อคนกลุ่มนี้ไปซื้อกล้องดูดาวเพื่อหวังจะหายานอวกาศขนาดใหญ่ที่บินตามหลังดาวหาง แต่เมื่อส่องดูแล้วไม่เจออะไรนอกจากความว่างเปล่า สิ่งที่ตามมาก็คือพวกเขาเชื่อว่ายานอวกาศมีอยู่จริง แต่กล้องดูดาวต่างหากที่มีปัญหา ...  เพราะพวกเขาเดิมพันทุกอย่างที่มีในชีวิตลงไปหมดแล้ว เช่นเดียวกันกับคนที่หลงไปรักษากับหมอทางเลือกจอมปลอมเหล่านี้  เมื่อรักษาไป อาการก็ทรุดลงเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คนไข้และครอบครัวมองว่าเขาลงทุนมาไกลแล้ว หนำซ้ำยังมีคนรับรองว่านี่คืออาการปกติ แม้ในใจจะไม่เห็นด้วย แต่อีกใจนึงก็จะบอกว่า "เอาน่ะ เอาอีกนิดนึง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว"
      

อะไรล่ะจะทำให้เรารอดพ้นได้ เพราะการศึกษาไม่ช่วยอะไรอยู่แล้ว 

        ในปี 2543 ที่ร้านอาหารแม็คโดนัลที่ตั้งอยู่ในเมืองเคนตั๊กกี้ มีโทรศัพท์จากตำรวจโทรเข้ามาที่ร้านเพื่อให้เจ้าของร้านช่วยเหลือตำรวจในการจับกุมลูกจ้างคนหนึ่งของร้าน ซึ่งต่อมากรณีนี้ได้กลายเป็นกรณีศึกษาอันโด่งดังที่มีพูดถึงในหนังสือจิตวิทยาสังคมจำนวนมาก
      เหตุเกิดขึ้นในบ่ายของเดือนเมษายน ตำรวจโทรศัพท์มาหาดอนน่า ซัมเมอร์ วัย51ปี แจ้งว่าลูกจ้างคนนึงในร้านได้ขโมยของของร้านไป โดยตำรวจบอกว่าเขาได้รับแจ้งจากหัวหน้าของดอนน่าอีกที(บอกชื่อได้ถูกต้อง)และยังอ้างไปถึงบริษัทแม็คโดนัลว่าเป็นคนแจ้งมา ...จากนั้นตำรวจก็แจ้งรูปพรรณคนร้ายคร่าวๆซึ่งดอนน่าบอกว่ามีพนักงานคนนึงที่รูปพรรณตรงกันคือแมรี่ จากนั้นตำรวจบอกให้ซูซานไปพาแมรี่มาค้นตัว มิฉะนั้นจะพาตำรวจไปจับแล้วตำรวจจะค้นตัวเอง ทีแรก ซูซานก็ปฏิเสธ แต่หลังจากชักจูงอยู่พักนึงให้เห็นว่าการไปค้นตัวที่สถานีตำรวจที่มีแต่ผู้ชายจะไม่เป็นผลดีต่อแมรี่ที่เป็นผู้หญิงและประวัติจะเสีย ดอนน่าก็ยอมไปพาแมรี่มา  หลังจากดอนน่าจับแมรี่ถอดเสื้อผ้าตามคำสั่งของตำรวจจนร่างเปลือยเปล่า จากนั้นก็ทำตามสิ่งที่ตำรวจสั่งไม่ว่าจะให้ยืนแก้ผ้า เอาเสื้อผ้าไปไว้นอกห้อง แล้วล็อคห้อง ... ส่วนแมรี่ที่โดนขุ่ก็กลัวว่าจะโดนจับก็ยอมแต่โดนดี สักพักดอนน่าต้องไปดูแลร้านต่อ ตำรวจก็สั่งให้เธอหาคนมาแทนซึ่งเธอก็โทรไปเรียกวอลเตอร์ นิก คู่หมั้นของเธอให้มาทำหน้าที่ต่อ ... เมื่อวอลเตอร์มาก็ได้รับฟังเรื่องจากแมรี่ ดอนน่า และตำรวจในโทรศัพท์แล้วรับหน้าที่ต่อ หน้าที่ที่ตำรวจให้ทำต่อจากนั้นเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศที่รุนแรงขึ้นซึ่งทั้งวอลเตอร์และแมรี่ก็ทำตามแม้จะไม่เต็มใจ ในขณะที่ดอนน่าก็เข้ามาดูเป็นระยะๆ ... เหตุการณ์ผ่านไป 4 ชม.จนกระทั่งวอลเตอร์รู้สึกรับไม่ได้ ตำรวจในสายเลยให้วอลเตอร์เลยไปเรียกคนอื่นมา โทมัส ซิมส์ ช่างซ่อมบำรุงวัย 58 ปีเข้ามาแทน ทันทีที่โทมัสเข้ามาในห้องเค้าก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงไม่ยอมทำตามสิ่งที่ตำรวจคนนั้นสั่ง และเรียกดอนน่าเข้ามาบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันผิดปกติ ...ตอนนั้นเองดอนน่าเลยลองโทรไปหาหัวหน้า(ซึ่งตำรวจอ้างว่าอยู่ในสายตลอดช่วงเวลา)และได้รู้ความจริงว่าที่จริงหัวหน้าของเธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ส่วนตำรวจปลายสายก็วางสายไป ...ตอนนั้นเองทุกคนเลยรู้ว่านั่นไม่ใช่ตำรวจ ...แล้วจึงโทรแจ้งตำรวจตัวจริงมา
       คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้น70ครั้งใน32รัฐ ... สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ยอมทำตามคือการอ้างตนว่าเป็นตำรวจ ซึ่งถือเป็นอำนาจรัฐที่เหนือกว่า (ในแง่หมอทางเลือกลวงโลก ก็อาจจะอ้างศาสนา พระ พระเจ้า)
สิ่งที่ยุติเหตุการณ์ในกรณีนี้ คือ การที่โทมัส ซิมส์เข้ามา ... สิ่งที่โทมัสต่างจากดอนน่า วอลเตอร์ และแมรี่ก็คือ เขามาเห็นเหตุการณ์ตอนที่ดำเนินไปไกลแล้วและไม่ได้ร่วมกันทำเรื่องนี้มาแต่แรก ดังนั้นจึงไม่ได้ตกอยู่ใต้การควบคุมของคนโรคจิตที่อีกฟากของโทรศัพท์ เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้งในหลายรัฐ ก็จบลงคล้ายๆกัน คือ คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น เมื่อเข้ามาพบก็รู้ว่าผิดปกติก่อนที่คนที่แก้ผ้าหรือจับคนอื่นแก้ผ้าจะรู้ตัว

หลักการนี้ก็ไม่แตกต่างกัน
        เมื่อเกิดการหลงเข้าไปรักษากับหมอทางเลือกที่หลอกลวง ทางที่จะทราบได้ว่าเกิดการหลอกลวงขึ้นหรือไม่ทำได้ยาก ต้องอาศัยคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวดังกล่าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทีหลัง ...และแค่เห็นไม่พอ ต้องสามารถชักจูงได้รุนแรงพอที่จะดึงคนป่วยและครอบครัวที่กำลังโดนหลอก ให้หลุดจากวงจรที่คิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วให้ได้ก่อนจะสายเกินไป

เราจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกในสถานการณ์แบบนี้ 
1. อย่าเปิดประตูให้พวกนี้เข้ามาง่ายๆ 
     ระวังการเข้ามาในรูปแบบต่างๆ และตั้งข้อสงสัยกับข้อมูลเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดหรือทีวี สื่อต่างๆ ... ถ้าใครบอกว่ามีคนหายด้วยการรักษานั้นๆ ต้องสอบถามจนให้ได้ตัวตนคนที่หายจริงๆ และต้องรู้ถึงรายละเอียดว่าเค้าเป็นโรคจริง รักษาที่ไหนมาก่อนไม่หาย รักษาแล้วหายจากการรักษาจริงหรือไม่ หรือบังเอิญหายกันแน่ อย่าเชื่อหรือยอมเกรงใจเด็ดขาด การติดเคเบิ้ลทีวีในบ้านที่มีผู้สูงอายุ ต้องระมัดระวังว่ามีช่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการล้างสมองขายของพวกนี้หรือไม่

2. สิ่งที่ดูดี ดูดีจริงหรือไม่
       การรักษาด้วยอิทธิปาฎิหารย์ ศรัทธาความเชื่อ โดยพระครูที่มีชื่อในท้องถิ่น หรือคนที่รักษาผ่านทางช่องทางของศาสนา ... ต่างๆเหล่านี้จะต้องถูกสอบทานด้วยผู้ใหญ่ทางสังคมในศาสนาเดียวกันได้  ก่อนจะเข้าไปรับการรักษากับคนเหล่านี้ ควรปรึกษาผู้นำทางศาสนาหรือชุมชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่รักษาว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นที่ยอมรับหรือไม่ การรักษาด้วยทางเลือกที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ ควรเช็คว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียมหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาทางอินเตอร์เนท หรือสอบถามผู้รู้ ... ลักษณะของวิทยาศาสตร์เทียม มักจะฟังเข้าใจง่ายดูมีเหตุผล แต่ไม่สามารถหาการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจนหรือตอบโต้ฝั่งวิทยาศาสตร์ด้วยการดิสเครดิตอย่างเดียว

3. มวลชน
       ถ้ามีการใช้อารมณ์ การใช้มวลชนกดดัน การทำให้อาย การต่อว่ากล่าวโทษในเรื่องที่เล็กน้อย ต้องระมัดระวังว่ามีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้น  นอกจากนี้การออกจากวงจรการรักษาแล้วกลับเข้าไปใหม่อีกครั้งจะช่วยให้เรามองเห็นภาพต่างๆได้ชัดเจนขึ้น

4.ก่อนจะได้ผลต้องเจ็บปวดเสียก่อน
       พึงระลึกว่านอกจากนิยายกำลังภายในและการ์ตูน การรักษาทางแพทย์ทางเลือกที่ทำให้แย่ลงก่อนแล้วดีทีหลังมีไม่มาก หากแพทย์ทางเลือกนั้นๆระบุแบบนั้น สมควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ทางเลือกท่านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันหรือปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน

ความคิดเห็น